รูปแบบของการติดตั้งและใช้งานซอฟต์แวร์บนเซิร์ฟเวอร์ของตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้ให้บริการคลาวด์ภายนอกกับโปรแกรม Self-Hosted ไม่ใช่ชื่อโปรแกรมเฉพาะเจาะจง การใช้งานในรูปแบบนี้ได้รับความนิยมมากขึ้นในปี 2025 เนื่องจากหลายองค์กรและผู้ใช้งานทั่วไปเริ่มให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัย และการควบคุมข้อมูลได้อย่างเต็มรูปแบบ แนวคิดของการใช้งานแบบ Self-Hosted คือการนำซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส หรือซอฟต์แวร์ที่สามารถติดตั้งเองได้ มารันบนเครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่ผู้ใช้เป็นเจ้าของหรือเช่าใช้เอง เช่น VPS, Raspberry Pi, หรือ NAS ซึ่งแตกต่างจากการใช้บริการ SaaS (Software as a Service) ที่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ของบริษัทผู้พัฒนา
ซอฟต์แวร์ยอดนิยมที่ผู้คนนิยมติดตั้งได้แก่ Nextcloud (เก็บไฟล์คล้าย Google Drive), Bitwarden (จัดการรหัสผ่าน), Vaultwarden, Gitea หรือ GitLab (แทน GitHub), และ Home Assistant (ควบคุมอุปกรณ์ IoT) ซึ่งล้วนสามารถติดตั้งและใช้งานบนเครือข่ายส่วนตัวหรืออินเทอร์เน็ตได้อย่างยืดหยุ่น จุดเด่นของระบบแบบนี้คือความเป็นเจ้าของข้อมูล 100% ไม่มีบุคคลที่สามเข้าถึง ไม่มีการติดตาม หรือวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งานโดยอัตโนมัติ และสามารถเลือกปรับแต่งระบบได้ตามความต้องการอย่างเต็มที่ เช่น การตั้งค่าโดเมน การเข้ารหัส การจัดสิทธิ์ผู้ใช้งาน หรือการสำรองข้อมูลแบบออฟไลน์ ข้อดีอีกอย่างคือประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว โดยเฉพาะผู้ที่ใช้บริการแบบเสียค่ารายเดือนกับ SaaS หลายตัว สามารถรวมทุกอย่างไว้ในเซิร์ฟเวอร์เดียว และไม่ต้องเสียค่าบริการรายปี หรือค่าฟีเจอร์เสริมอีกต่อไป ซึ่งเหมาะกับทั้งผู้ใช้ส่วนตัวและธุรกิจขนาดเล็กถึงกลาง
การติดตั้งนี้ยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการเรียนรู้ระบบเซิร์ฟเวอร์ การจัดการเครือข่าย การทำงานร่วมกับ Docker หรือ Reverse Proxy อย่าง NGINX ซึ่งถือเป็นทักษะที่มีประโยชน์และเป็นที่ต้องการในสายงานด้าน IT Infrastructure อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ต้องดูแลความปลอดภัยเองทั้งหมด เช่น อัปเดตซอฟต์แวร์ สร้างระบบสำรองข้อมูล และป้องกันการโจมตีจากภายนอก ซึ่งแม้จะเพิ่มภาระเล็กน้อย แต่ก็มาพร้อมอิสระที่ไม่มีในบริการแบบคลาวด์สำเร็จรูป โดยรวมแล้ว Self-Hosted เป็นแนวทางที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ยุคใหม่ที่ต้องการควบคุมทุกอย่างด้วยตัวเอง ทั้งในแง่ข้อมูล ความปลอดภัย ความเร็ว และค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะในยุคที่ความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์กลายเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสำคัญมากขึ้น